วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2562

เสียงกลองลึกลับ จากแดนลับแล

เสียงกลองที่ดัง จากมิติอันลึกลับ

   
                เมื่อประมาณ  พ.ศ. 2551-2556  ป่าไม้ดงหนาเขตเทือกเขาภูพานเขตฝั่งจังหวัดสกลนครหรือจุดระหว่างเขตแดนแนวสันเขากับจังหวัดกาฬสินธุ์  ยังหนาแน่นมีต้นไม้ใหญ่ๆหลายชนิด  เช่น  ต้นไม้ตะเคียน ไม้ยางนา ไม้มะค่า ฯลฯ  สภาพป่าภูพานจุดแนวเขตติดต่อระหว่างจังหวัดเป็นแนวป่ารกชัฏ ปัจจุบันยังพอหลงเหลือจากนักลักลอบค้าไม้มีไม่มากนัก  เนื่องจากป่าถูกทำลายจากนักลักลอบตัดไม่พยุงอย่างหนักในระยะนั้น อีกทั้งชาวบ้านในพื้นที่เข้าไปหาของป่าก็จุดไฟเผาป่า เพื่อดักจับสัตว์ ทำให้ ป่าถูกเผาหลายแห่งโล่งเตียน  สัตว์เล็กๆต้องตายไปกับไฟป่าเพราะหนีไม่ทัน ต้นไม้เล็กๆไม่เกิดขึ้นมาอีกเหลือแต่ความโล่งโปร่งของตอไม้แห้งที่ตายยืนต้นมีให้เห็นเป็นอนุสรณ์แห่งความจำในอดีต  ซึ่งสังเกตุจากการเดินทางข้ามไปมาตามเส้นทางระหว่างสองจังหวัดนี้ ที่มีถนนตัดตรงผ่านเขาภูพานม่ีระยะทางที่ไกลหลายกิโลเมตรกว่าจะพ้นดงหนาทึบแล้วเข้าเขตบ้านแก้งกะอาม เขตอำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ 
               
                 ณ ช่วงเวลาหนึ่งนั้น ข้าพเจ้ามีภารกิจหน้าที่การงานที่จะต้องเดินทางข้ามเขาภูพานเป็นประจำ ทุกสัปดาห์ก็ว่าได้เพื่อไปทำงานในตัวเมืองจังหวัดกาฬสินธุ์  เป็นความทรงจำบางครั้งที่มีโอกาสเข้าป่าไปเที่ยวชมธรรมชาติมากกว่า   โดยให้เพื่อนๆในหมู่่บ้านติดแนวเขาภูพานเป็นผู้นำทางเดินป่าไปชมถ้ำหรือไปกินข้าวหาของป่าเล็กๆน้อยๆ เช่น หาเห็ด หน่อไม้ เก็บผัก โดยถืออีกเรื่องหนึ่งจะไม่เข้าป่าเพื่อล่าสัตว์โดยเด็ดขาด การไปต้องเตรียมอาหารน้ำสัมภาระติดตัวไปด้วยทุกครั้งในราวๆ ปี พ.ศ. 2555  ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสป่าภูพานซึ่งนานๆ ที ครั้งนี้ก็เช่นกันการเข้าป่าของข้าพเจ้า ไม่ได้เข้าไปเพื่อหาของป่าแต่เป็นการไปพบปะครูบาหนุ่ม โดยซื้อสิ่งของเครื่องใช้ไปถวายพระหนุ่มนักปฏิบัติรูปหนึ่งที่ถ้ำกลางหุบเขาภูพาน ซึ่งท่านได้พักปักกลดอยู่ในถ้ำลึกลับแห่งหนึ่ง  พระอาจารย์หนุ่มรูปนี้ข้าพเจ้าได้สนิทกับท่านมานานหลายปี ซึ่งท่านได้หลบหลีกสังคมความวุ่นวายในบ้านเมืองไปอยู่ในป่าภูพานมาหลายปีแล้ว ข้าพเจ้าออกเดินทางจากตัวเมืองกาฬสินธุ์ เวลาประมาณ 11 โมงเช้ากว่าๆ พร้อมกับเพื่อนๆ ร่วมทางเป็นเพื่อนหญิง 3 คน และเพื่อนชายอีก 1 คน รวมข้าพเจ้าแล้วเป็น 5 ชีวิต โดยแวะรับประทานอาหารเที่ยงกันที่ร้านค้าข้าแกงข้างทางในตัวอำเภอสมเด็จ แล้วขับรถขึ้นเขาภูพาน บรรยากาศกลางวัน วันนั้นสดใสไม่ร้อนมากนักเพราะเป็นช่วงหน้าหนาวเพิ่งผ่านไป เข้าช่วงเดือนมีนาคม วันนั้นได้นำรถยนต์เข้าไปจอดไว้ ณ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูพาน โดยขอฝากรถกับเจ้าหน้าที่ของอุทยานและขออนุญาตเจ้าหน้าที่เดินทางเพื่อจะนำของใช้เล็กๆน้อยๆ ไปถวายพระที่อยู่ ณ ถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ของทางอุทยาน ก็อนุญาตให้เข้าไปเพราะคุ้นเคยกับข้าพเจ้ามาก่อน  พวกเราพากันเดินทางด้วยเท้าช่วงนั้นเวลาประมาณบ่าย ใช้เวลาประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง ก็ไปถึงถ้ำที่ว่า ได้ถวายของใช้ให้พระอาจารย์ท่านก็ให้พร ยถา..สัพพี..อนุโมทนาในการนำของใช้ต่างๆ ไปถวายท่านพร้อมสนทนาอยู่ประมาณชั่วโมงก็ได้เวลาขอเดินทางกลับกัน  
                พวกเราเดินเรียงตามกันมาข้างทางสภาพป่าหนาทึบไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยมีหลายต้นขนาดคนโอบรอบกันได้ 2-3 คน มีตะเคียน ตะแบก  ยางป่า ประดู่ใหญ่ๆ มาก พอมีทางเดินลัดเลาะไปตามไหล่เขาบ้าง ป่าหนาฯ สลับกับกอไผ่ที่พุ่มหนาบ้าง เดินห่างกันประมาณ 2 -3 เมตร บรรยากาศจะเย็นๆ ลมพัดยอดใบไม้เอื่อยๆ ซู่ๆซ่าๆ ปราศจากเสียงสัตว์ป่า นก แมลงต่างๆ เงียบกริ๊บ เดินออกจากถ้ำมาได้ประมาณ 30 นาทีซึ่งข้าพเจ้าเดินอยู่ท้ายสุด พอกำลังเดินผ่านดงไม้ต้นใหญ่หลายสิบต้น ระหว่างนั้นเพื่อนข้าพเจ้าข้างหน้าได้ยินเสียงดังคล้ายเสียงตีกลองเพลจากวัด ที่ดังแว่วมาตามสายลมเสียงนั้นดังพอได้ยินไม่ดังมาก จากเสียงดังครั้งแรก พอครั้งที่สองก็แผ่วเบาลง ถึงสี่ถึงห้าครั้ง ดังเป็นจังหวะ เพื่อนกับข้าพเจ้าจึงหยุดฟังเสียงด้งกล่าวว่ามันดังมาจากไหน จึงปล่อยให้เพื่อนๆ ที่เป็นหญิงเดินล่วงหน้าไปก่อน โดยไม่ได้บอกพวกเขา ข้าพเจ้ากับเพื่อนทั้งสองได้แต่เงี่ยหูฟัง ก็ได้ยินตรงกันเลยว่ามันดังมาจากต้นไม้ตะเคียนใหญ่นี้แน่ๆ ซึ่งต้นตะเคียนนี้มันอยู่ข้างทางที่พวกเรากำลังผ่านไป ก็เลยเดินอ้อมไปอีกข้างของต้นตะเคียนนั้น ก็ได้ยินเสียงกอลงเพลที่ตีดังขึ้นอีกครั้ง มันดังมาจากอีกทิศตรงกันข้ามอีกฟากหนึ่ง พวกเราเลยเดินอ้อมกันไปอยู่กันคนละข้าง แล้วที่นี้เสียงดังครั้งที่สามก็ดังออกมาจากต้นไม้ต้นนี้อีก เหมือนเสียงกลองที่พระเณรตียามเช้าช่วงจะฉันเพล ไม่มีผิด แต่เสียงแผ่วดังไม่ดังมากเหมือนเสียงที่ดังมาจากไกลๆ มาจากอีกหมู่่บ้านหนึ่ง เอาละครับทีนี้ขนลุกกันทั้งสองคน ผีส่งสัญญาณเสียงดังเป็นตีกลองเพลมาแล้ว อากาศที่ว่าเย็นอยู่แล้วยึ่งหนาวเข้าไปอีก เพื่อนว่าเกิดมาเพิ่งเคยเห็นกลางวันจะๆ อย่างนี้ไม่มีอีกแล้วนี้ก็เป็นช่วงเวลาประมาณบ่ายโมง ถึงบ่ายสองโมงแค่นั้น พวกเราก็รีบจ้ำอ้าวกึ่งเดินกึ่งวิ่ง พวกเพื่อนๆ หญิงที่ไม่เห็นข้าพเจ้ากับเพื่อนเดินตามมาก็ยืนรอสักพักว่าคงแวะข้างทางทำอะไรสักอย่างแน่ เขาก็เลยพากันเดินช้าๆ รอข้าพเจ้าไปด้วย ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ได้เล่าเรื่องอะไรให้พวกเขาฟัง ได้แต่เก็บเงียบไว้ก่อนขืนเล่าตอนนั้นคงเผ่นจ้ำอ้าวแซงหน้ากันป่าราบพอดี พอมาถึงรถก็พากันขึ้นรถเดินทางกลับออกจากป่าภูพาน ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูพาน พอกลับเข้มามาในตัวเมืองกาฬสินธุ์ ถึงที่ทำงานจึงได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ได้ไปเจอมา พวกเพื่อนๆก็มาถามกันยกใหญ่ว่าไหนเป็นอย่างไงทำเอาตื่นเต้นย้อนหลังกันไป ขนลุกย้อนหลังไปด้วย เพื่อนๆ บอกว่าขาเดินทางกลับระหว่างเดินทางผ่านจุดต้นไม้ใหญ่นั้นพวกเขาว่ามันเย็นๆ หลอนยังไง ถ้ารู้ว่ามาเห็นสภาพป่าแบบนี้ไม่กล้าไปด้วยแน่นอน...แต่ข้าพเจ้ารู้สัมผัสแต่แรกแล้วว่าถิ่นที่พวกเราไปนั้นเป็นแดนลับแลภูพาน...ดงหนาป่าทึบที่ยังมีให้เห็นอยู่ทุกวันนี้ แม้เรื่องราวเหตุการณ์จะผ่านนานหลายปีแล้วก็ยังจำติดตาติดใจไม่ลืมความหลอนได้เลย
                    ต่อมาทราบว่าทางการอุทยานแห่งชาติภูพาน ได้เข้มงวดไม่ให้พระป่า เข้ามาปักกลดอยู่ถ้ำอีกต่อไปตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา เพราะเหตุอาจเกรงว่าเป็นการไปทำลายสภาพแวดล้อมของป่าก็ว่าได้ สำหรับเรื่องราวพิลึกกึกกือนี้และยังมีอีกหลายเรื่องราวเกี่ยวกับความลี้ลับอีกมากมาย ตัวท่านพระอาจารย์หนุ่มองค์นี้ปัจจุบันท่านก็จำพรรษาอยู่ที่ตำบลสร้างค้อ อำเภอภูพาน และธุองค์รอบๆ ภูพานเรื่อยๆ เช่นเดียวกับข้าพเจ้ามีตำแหน่งหน้าที่การงานก็ไม่ห่างจากภูพานเท่าไหร่นัก แค่ร้อยกว่ากิโลเมตรเอง ต้องเดินทางกลับภูพาน สกลนคร ทุกสัปดาห์ เหมือนที่เคยเป็นมาครับ และคงอีกไม่นานหากเกษียณอายุราชการเมื่อไหร่คงต้องเข้าป่าสร้างบุญบารมีกันต่อไปครับ....
                                                                                พังคี  ภูพานปุระ/24/03/2564