วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ภพภูมิอันลี้ลับ

ป่าภูพาน ดินแดนแห่งตำนาน

             ภูพาน  หรือตามชื่อที่เรียกมาแต่โบราณอีกชื่อหนึ่งคือ ภูกูเวียน แนวเทือกเขาครอบคลุมพื้นที่หลายจังหวัด ตั้งแต่ตะวันออกแนวแม่น้ำโขง จังหวัดมุกดาหาร  นครพนม สกลนคร กาฬสินธุ์ ถึงแนวตะวันตกขอนแก่นและอุดรธานี แต่ส่วนมากคนจะเรียกเป็นภูพาน ที่อยู่เขตสกลนครเป็นส่วนใหญ่ แต่ละแห่งก็มีความลึกลับหลากหลายเรื่องราว เกี่ยวกับภพภูมิอันลี้ลับ เทวดา รุกขเทวดา แดนเมืองบังบด นาค ครุฑ กุมภัณฑ์ คนธรรพ์ นางไม้ ภูติผี ปีศาจอสูร ฯลฯ ที่ยังพอปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยๆ สำหรับผู้คนในหมู่บ้านที่อยู่ตามแนวเขาและคนต่างถิ่นที่ผ่านไปผ่านมา หากไม่ประสบพบเจอด้วยตัวเองคงยากที่เชื่อได้ แต่จะมีบ้างที่ไม่เชื่อของการมีอยู่จริงของภพภูมิเหล่านี้เพราะไม่เคยเห็น  แต่ก็มีคำพูดคำหนึ่งที่คอยเตือนเสมอของการมีอยู่จริงของภพภูมิคือ "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"  ซึ่งก็ยังใช้ได้ไม่มีวันตกยุคสมัย มาจนปัจจุบัน

             "เรื่องเล่า ภูติพยัคฆ์ ลายพาดกลอน" เมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อนป่าภูพานกับปัจจุบัน ความหนาแน่นของป่าแตกต่างกันมาก แม้จะมีนักค้าไม้แอบลักลอบไปตัดไม้บ้าง ทราบจากการตรวจจับของเจ้าหน้าที่จะเห็นอยู่บ่อยๆ แต่ป่าก็ยังหนาแน่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยในดงลึกถ้าได้เข้าไปสัมผัสแล้วยังเย็นยะเยือกอยู่เลย โดยเฉพาะเวลากลางคืนบนถนนสายหนึ่งที่เชื่อมต่อกันระหว่างจังหวัดสกลนคร กับจังหวัดกาฬสินธุ์ ถนนเส้นนี้มีตำนานการสร้างมานานพร้อมกับความลึกลับของป่า เวลากลางคืนแทบไม่มีรถยนต์สวนทางกันเลย 

           ข้าพเจ้ามีเพื่อนหญิงคนหนึ่งรู้จักกันไม่นานแต่ก็พอสนิทกันพอไปมาหาสู่กันพอสมควรตามภาระหน้าที่เกี่ยวข้องกัน เขาได้มาลงทุนเปิดกิจการประเภทหนึ่งที่จังหวัดสกลนคร จำเป็นต้องใช้เส้นทางไปกลับข้ามเขาภูพานจากกาฬสินธุ์ เข้าสู่สกลนคร ทุกสัปดาห์ ตามงานภารกิจที่จำเป็นและไม่จำเป็นบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเช้าสายบ่ายค่ำไปได้ทุกเวลา และแล้ววันหนึ่งมีโอกาสได้สนทนากันระหว่างโต๊ะอาหาร เขาได้คุยสัพเพเหระกับข้าพเจ้าไปเรื่อย และเล่าว่ามีประสบการณ์ขนหัวลุกให้ฟ้งวันหนึ่งช่วงหน้าฝน ปี 2546 มีธุระช่วงบ่ายต้องเดินทางออกจากสกลนครข้ามเขาภูพานไปกาฬสินธุ์  เมื่อรถแล่นไปถึงเขตตำบลสร้างค้อ อำเภอภูพาน ช่วงรอยต่อจะเข้าเขตอำเภอสมเด็จ กาฬสินธุ์ เป็นเวลาจะพลบค่ำพอดีจะเข้าเขตอีกด้านฝั่งภูพาน โดยมีเพื่อนร่วมทางเป็นหญิงไปด้วยกันนานๆ ทีจะมีรถสวนกันสักคัน รถยนต์วิ่งตามเส้นทางที่คดเคี้ยง บางครั้งก็รู้สึกได้ถึงความวิงเวียนปั่นป่วนทั่วตัวหากเป็นผู้ที่ไม่เคยผ่านไปมาบ่อยๆ  ซึ่งรถยนต์ไม่ได้ไปเร็วมากเพราะเส้นทางมีทั้งโค้งงอคดเคี้ยวหักศอก บางแห่งข้างทางก็ชัน เห็นมีเศษกระจกรถ เศษอะไหล่ต่างๆ ตกกระจายตามรายทางที่ประสบอุบัติเหตุก็มี ทำให้ต้องเพิ่มความระมัดระวังตัวในการขับรถเป็นอย่างมาก ความมืดเริ่มสลัวเข้ามาแทนที่ ก็เริ่มเปิดไฟหรี่ก่อนตามด้วยไฟปกติส่องสว่าง หากเปิดไฟสูงจากรถก็มองเห็นได้ไกลเป็นหลายร้อยเมตรทีเดียว แต่ก็เหมือนมีฉากกั้นไม่สามารถมองไปไกลได้ตามสภาพถนน เพราะมีแต่ป่าหนากับความมืดคลอบคลุมไปทั่ว เมื่อรถแล่นผ่านโค้งสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่จุดสูงสุด บนเขาภูพานอยู่เขตรอยต่อของสองจังหวัด แสงไฟไปกระทบกับสิ่งหนึ่งเบี้องหน้าขวาบริเวณเลยไหล่ทางไปนิดหนึ่ง...ทำเอาเพื่อนร่วมทางที่ไปด้วยกันถึงกับอึ้ง ขนลุกชันวาบหวิวชั่วครู่เหมือนสัมผัสวิญญาณ สิ่งที่เห็นนั้นคือ ตัวอะไรล่ะขนาดใหญ่นั่งนิ่งชันขาหน้านั่งทับขาหลังสองข้างพร้อมที่จะกระโดด มีอาการเฉยนิ่งเฉยหางโค้งงอขึ้นเล็กน้อย ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็นเลยเป็นไปได้หรือนี่แสงไฟส่องกับความมืดสลัวยังไม่มิดเท่าไหร่รถวิ่งก็ไม่ได้เร็วมากนักเพราะเลยทางโค้งมานิดเดียว ดูสีขนลายเหลืองส้มสลับกับดำ หรือนั่น "เสือลายพาดกลอน" ในตำนานภูพานสมัยก่อนที่เคยได้ยินมา ดูลำตัวขนาดใหญ่มาก ขณะรถแล่นผ่านหน้าที่มันั่งอยู่ มันทำท่าอ้าปากแยกเขี้ยวสีขาววาววับเหมือนกับอ้าปากหาว บิดขี้เกียจแล้วงับลงเฉย เหมือนมองดูเราด้วยอาการปกติไม่มีตื่นตกใจอะไรเลย แตกต่างกับเราหัวใจหล่นตุบตั้บๆ หนาวจับขั้วพร้อมกลั้นลมหายใจ ใส่คันเร่งรถเร็วอยากจะลัดโค้งไปให้ไวๆปานลมพัดบรื้อๆ เห็นกับตาทั้งสองคน  แต่ไม่กล้าหันกลับไปมองข้างหลัง ได้แต่ภาวนาท่องนะโมฯ กว่าจะไปตั้งหลักได้ก็ที่ตลาดอำเภอสมเด็จ แอร์รถยนต์หนาวเย็นขนาดนี่แต่เรายังเหงื่อแตกพลั่กๆ พร้อมกับสนทนากันไปในรถว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเสือลายพาดกลอนตัวเขื่องขนาดนี้มาอยู่ตรงนี้ได้  เพราะป่าภูพานในปัจจุบัน แม้แต่หมูป่า เก้ง กวาง ก็หายากเต็มที และไม่เคยได้ยินมานานแล้ว แต่ถ้าเป็นช่วงก่อน พ.ศ. 2500 ป่าหนารถชัฎก็พอว่าแต่นี่เป็น พ.ศ. 2546 เป็นไปได้หรือนี่ หรือมันแหกกรงขังเจ้าของเอามาปล่อย หรือมันมาจากฝั่งลาวเพื่อนบ้านมากลางคืนไม่มีใครรู้  ข้าพเจ้าได้ฟังแล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้ อีกอย่างข้าพเจ้าก็มีบ้านอยู่เขตอำเภอใกล้ๆแถวนั้นด้วย หรือมันคืออะไรกันล่ะ 

               เรื่องนี้ แม้ข้าพเจ้าจะมีบ้านอยู่แถบนั้นก็จริง แต่ไม่เคยได้ยินเรื่องราวของเสือที่ภูพานมาก่อนและพรานป่าหลายรุ่นแล้วไม่เคยเล่าเรื่องเสือให้ได้ยินจนปัจจุบัน และข้าพเจ้าก็เคยเดินป่าภูพานมานับไม่ถ้วน แล้วเพื่อนก็เล่าว่านี่เป็นเรื่องจริงของจริงที่ตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นเหมือนกัน และที่สำคัญตรงจุดนั้น ก็เป็นที่ทำการของอุทยานแห่งชาติของกรมป่าไม้ จะมีเจ้าหน้าที่ประจำแวะเวียนไปๆมาๆ อยู่เสมอ แต่ที่สังเกตุบริเวณนั้นมีแต่ต้นไม้ขนาดใหญ่ชนิด 2-3 คน หลายต้นคนหลายคนล้อมกันยังไม่มิดเลย เรื่องนี้แม้จะผ่านมาหลายปีแต่ก็ยังอยู่ในความทรงจำเสมอเพื่อนว่า และเพื่อนของข้าพเจ้าอาจไปพบเจอมิติของโลกอื่นโดยบังเอิญหรืออาจเพราะพวกเขาออกมาทักทายสั่นประสาทให้หลอนเล่นๆ กันอาจเป็นได้  ซึ่งมาตอนหลังได้เฉลยต้นของเรื่องมาภายหลังนี่เองแต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วไม่แปลกใจเลยเพราะรู้ในใจว่าอะไรเป็นอะไร และจากครูบาหลวงพี่ ก็เขตนั้นเป็นเขตภูมิอันลี้ลับของผีบังบด หรือเมืองลับแล วันดีคืนดี เขาจะมาให้เห็นเป็นอะไรแปลกๆเสมอๆ หากท่านได้ผ่านเส้นทางนี้ยามค่ำคืนก็ขอให้มีสติแผ่กุศลผลบุญไปให้เขาบ้างตลอดเส้นทาง

              "เสียงลึกลับแห่งพงไพร"  เมื่อ ปี พ.ศ. 2551  ก็ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่เอง ระหว่างที่ข้าพเจ้ามีโอกาสย้ายหน้าที่การงานไปอยู่ในตัวเมืองจังหวัดกาฬสินธุ์ ระยะหนึ่ง ซึ่งต้องเดินเทียวไปกลับมาหาครอบครัวอยู่ในตัวเมืองจังหวัดสกลนคร ทุกสัปดาห์วันศุกร์หลังเลิกงานเป็นอันต้องขับรถข้ามเขาภูพาน แล้ววันจันทร์ก็ต้องเดินทางแต่เช้าข้ามเขาจากสกลนคร เข้ากาฬสินธุ์ การเดินทางยามเช้าของข้าพเจ้ามักจะพบเห็นพระมายืนรอรับบิณทบาตตามเส้นทางบนเขาภูพานเสมอ  ข้าพเจ้าก็มีจิตใฝ่ทางพระอยู่แล้วจึงต้องเตรียมทุกเช้าวันจันทร์จะต้องมีอาหารสำรับกับข้าวของใช้บ้าง ไว้เตรียมใส่บาตรพระตอนเช้า ที่ท่านจะออกมารับบิณทบาตเพื่อสิริมงคลการเดินทางให้แคล้วคลาดปลอดภัย ซึ่งทุกเช้ามีพระหลายองค์ที่ออกมายืนตามรายทางบนเขาภูพาน ทีแรกก็ไม่เลือกใส่ทุกองค์จนกว่าของที่เตรียมมาหมด จุดละองค์ถึงสามสี่องค์ก็มี แต่ที่สนใจก็ตรงบริเวณจุดสูงสุดเขตรอยต่อระหว่างจังหวัด ข้าพเจ้าได้ทำเป็นประจำทุกวันจันทร์ระหว่างเดินทาง  จนรู้จักมักคุ้นกับพระท่านองค์หนึ่งเป็นอย่างดี ท่านเป็นพระหนุ่มอายุประมาณ 30 ปีเศษๆ นานเข้าก็สนิทกันก็สอบถามจิปาถะเรื่องราวในป่ามีทั้งเรื่องความอาถรรพ์ผีสางคางแดง ครบจนท่านเล่ารายละเอียดการอยู่ป่าให้ฟังทีละเล็กละน้อย จนข้าพเจ้าอยากรู้อยากเห็นความเป็นอยู่ในป่าวัตรข้อปฏิบัติพระป่าอยู่องค์เดียวมา 4 ปีกว่าแล้วที่ถ้ำห่างจากจุดถนนประมาณ 2-3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางด้วยเท้าประมาณ 1 ถึง 2 ชั่วโมง ท่านบวชมาจากครูอาจารย์อำเภอโนนสะอาด อุดรธานี แต่บ้านเกิดเป็นคนกาฬสินธุ์ ได้หาที่บำเพ็ญพำนักมาเรื่อยๆ จนปลีกตัวมาหาความวิเวกในป่าภูพาน การขบฉันวันๆ อดบ้างอิ่มบ้างตามชีวิตพระป่า แต่ก็ไม่เป็นปัญหาด้านความเป็นอยู่ เพราะอยู่ด้วยจิตด้วยธรรม ตามรอยพระพุทธองค์ศาสดาโลกเพื่อหวังพระนิพพานเป็นจุดหมาย 

               วันหนึ่งของวันหยุดยาวเทศกาล ช่วงกลางปี 2554 ข้าพเจ้าได้เตรียมเครื่องสำหรับไปปฏิบัติธรรม มีมุ้งกลดเครื่องใช้ประจำตัวเข้าพักวิเวกตามรอยครูอาจารย์ที่เคยไปมาหลายแห่งหลายปีแล้ว เช้าได้เดินทางบุกป่าไปสนทนากับท่านถึงถ้ำที่ท่านอยู่ ตามที่ท่านเคยบอกไว้ ลักษณะเป็นโพรงหลืบถ้ำลึกเข้าไปข้างในอากาศเย็นสบายมีน้ำไหลออกจากถ้ำใสเย็นเหมาะกับการภาวนายิ่งนัก ท่านว่าส่องไฟฉายเข้าไปทีไรหลอดไฟต้องขาดทุกที เมื่อข้าพเจ้าทดสอบส่องไฟฉายที่เตรียมมาเข้าไปในความมืด ก็เป็นดังท่านว่าหลอดไฟฉายของข้าพเจ้าขาดทันทีแปลกอัศจรรใจจริงๆ ดีที่เตรียมหัวเทียนสำรองมาด้วยบรรยากาศลึกลับบรรยายไม่ถูก  ตกเย็นมาวันนั้นท่านต้มน้ำร้อน พร้อมยาสมุนไพรให้ดื่มแบบป่าชาวบ้านเมื่อมาใหม่ๆที่ถ้ำนี้ท่านว่า มีความลึกลับในตัว บางวันจิตสงบเคยได้ยินแม้กระทั่งเสียงกระแสภูเขาแผ่นดินไหวทั่วโลกก็ยังมี มันดังคลื่นๆ อยู่ข้างล่าง ครั้งหนึ่งตอนมาอยู่ใหม่ๆ ตกกลางคืน ได้นิมิตรเห็นหญิงสาวนางหนึ่งสวยงามยิ่งนักมาชอบอยากได้พระหลวงพี่ไปอยู่ด้วย พยายามจะมุดมุ้งกลดเข้ามาให้ได้ แต่ท่านก็ขู่ห้ามเข้ามานะไม่กลัวบาปหรือโยมแต่เขาไม่สนท่านก็ระวังตัวของท่านด้วย หากเข้ามาต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งแน่ หญิงนางนั้นไม่ฟังก็เปิดมุ้งกลดเข้ามาหาท่านทำมายาภาพหญิงสวยงามยิ่งนักหากเป็นหนุ่มชาวบ้านมีหวังทำเป็นเมียแน่ๆ ท่านเลยใช้เท้าถีบออกไปไม่รู้ถูกตรงไหน ทำให้หญิงนางนั้นกระเด็นออกไปตกแอ่งน้ำข้างกลดที่ไหลออกมาจากปากถ้ำ แล้วก็หายไป จนกระทั่งเช้าวันใหม่กำลังเตรียมตัวออกจากถ้ำไปบิณทบาต ได้เห็นงูตัวหนึ่งสีดำมะเมื่อมตัวขนาดเท่าแขนเด็กๆ ยาวประมาณ 1 เมตร ใช้ไม้เขี่ยดูนอนตายอยู่ข้างแอ่งน้ำเล็กๆที่ไหลออกมาจากถ้ำ พิจารณาดูแล้วไม่เคยเห็นงูชนิดนี้มาก่อนมีสีดำมะเมื่อมบนหัวมีหงอนหยักๆแดงคล้ำๆคล้ายหงอนไก่ เลยใช้ไม้เขี่ยเอาออกไปทิ้งนอกถ้ำแล้วก็ไปทำข้อวัตรปฏิบัติตามปกติประจำวัน  พอตกกลางคืนมาได้นิมิตรเห็นเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ ทั้งชายหญิง หลายคนเดินทางออกมาจากถ้ำ มาถึงก็นั่งก้มกราบพร้อมขันดอกไม้มีผู้นำได้พูดขึ้นว่า เขามาจากเมืองลับแลพญานาคอยู่ในเมืองหลังม่านถ้ำนี้ วันนี้มาขอขมาท่าน แทนลูกสาวที่มาล่วงเกินท่านเมื่อวันก่อนท่านว่า งงเหมือนกัน เขาบอกว่าลูกสาวเขาผู้ที่มาหาท่านเมื่อวานไง ที่เห็นเป็นงูสีดำนั่นล่ะ อ้อท่านถึงได้เข้าใจเขาได้เชิญท่านเข้าไปเมืองของเขาด้วย แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ยินท่านเล่าให้ฟังว่าได้เข้าไปในเมืองของเขาหรือไม่ 

                  การคุยก็ออกรสชวนติดตามชนิดมันหยด พอสมควรแล้วก็ต่างแยกย้ายไปที่พักคนละที่กับท่าน สำหรับข้าพเจ้าต้องเดินตามไหล่เขาเลียบเลาะโขดหินผา   ขึ้นสูงไปอีกไกลห่างจากถ้ำอีกประมาณ 500 เมตร     โอ้..ทั้งกลัวทั้งหวาดหวั่นใจพิลึกกึกกือ เป็นครั้งแรกที่เผชิญความกลัวแบบสุดๆ แต่ก็ทำใจดีสู้เสืออย่างเดียว  มาแล้วถ้ากลัวตายก็ต้องตายอยู่ดี อยู่ที่ไหนก็ต้องตายทุกคนเกิดมาก็ตาย  การตายมีครั้งเดียว ความกลังถึงขีดสุดๆยังไงก็ไม่ถอยแล้ว ตายเพื่อธรรมะไม่ขายหน้าแน่ คิดพิจารณาทบทวนไปมา หลวงพี่ท่านก็มาอยู่องค์เดียวนี่ทำไมท่านกล้านักอยู่ได้ไม่เห็นเป็นอะไรมีผีเป็นเพื่อน เราเป็นอะไรถึงจะหนีก่อนพระทั้งที่ยังไม่เห็นอะไรสักอย่างเลยผีสางคางแดงที่ไหนกลัวไปก่อนแล้วยังไงผีก็ต้องรู้จักเราบ้างคงไม่ทำอะไรหรอก  เดินมาถึงกระท่อมเล็กๆ ยอดเขาป่าใหญ่ภูพาน อดเหลียงมองซ้ายบ้างขวาบ้างหลับตาบ้างใจหวิวๆ มีต้นไม้ใหญ่ๆ หลายต้นหนาๆหลายคนโอบเห็นแต่เงาดำทะมึนตะคุ่มเสียงลมหวีดหวิวเย็นยะเยือกมา มองตามแสงไฟไปเห็นหลังคากระท่อมมุงด้วยหญ้าคา ฝาใบไม้แห้งเคล้ากับเสียงลมพัดอู้ๆอี้ๆตลอดเวลาสติขาดๆเกินๆ  รู้สึกว่ามีบางอย่างคอยจับความเคลื่อนไหว จ้องมองลายล้อมอยู่ตลอดเวลา แอบซ่อนตัวบังอยู่ข้างต้นไม้ก็มีขึ้นนั่งห้อยขาอยู่บนต้นไม้ก็มี จิตคิดจินตนาการปรุงแต่งหลอกตัวเองไปไกลกว่าจะตามมาได้ก็เหงื่อแตกพลั่กจะเผ่นไปก็กลัวเสียยี่ห้อคนเขาจะหัวเราะเยาะได้ อยู่ได้ไม่ได้ให้มันรู้กัน  นั่งพักส่องไฟหาเผื่อมีเจ้าที่อยู่ก่อน แล้วกล่าววาจาต่อภูมิสถานที่ขอพักชั่วคราวสักวันแล้วก็จัดสถานที่กางมุ้งแขวนกลดเข้านั่งในกลดแล้วตั้งจิตแน่วแน่อัญเชิญบารมีพระพุทธองค์ศาสดา พระธรรมและครูบาอาจารย์ทั้งอดีตปัจจุบันส่งกระแสพลังบุญมาดูแลครอบคลุมอาณาเขตบริเวณ เริ่มต้นก็ร่ายภาวนาคาถามหาเวทย์ลึกลับของครูอาจารย์ นำบทอยู่ป่าทุกบทแล้วแผ่กุศลกรรมคุณความดีทั้งหมดส่งกระแสจิตภายในและกระแสเสียงภายนอกทุกสภาวะความปราถนาดีไปยังทุกอนูอากาศ รอบๆตัวออกไปไม่มีประมาณ  ตั้งสติแนบแน่นไม่ให้เผลอไปได้หากเผลอทีไรความกลัวเข้ามาแทนที่  การสู้ความกับความกลัวมันช่างยาวนาน  กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้งก็สว่างพอดี  บรรยายไม่ถูกกับการเผชิญสภาวะความกลัวที่เกิดขึ้นเมื่อถึงขีดสุดแล้วก็คลายลงเหลือแต่ความนิ่งวางเฉย พิจารณากลับไปกลับมาแต่ก็ผ่านพ้นไปได้   หากไม่พบสภาวะกับตัวเองแล้วนำความรู้สึกมาถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้รับรู้มันช่างแตกต่างกันลิบกับความเป็นจริง 
           
         
         

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น