วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2562

เสียงกลองลึกลับ จากแดนลับแล

เสียงกลองที่ดัง จากมิติอันลึกลับ

   
                เมื่อประมาณ  พ.ศ. 2551-2556  ป่าไม้ดงหนาเขตเทือกเขาภูพานเขตฝั่งจังหวัดสกลนครหรือจุดระหว่างเขตแดนแนวสันเขากับจังหวัดกาฬสินธุ์  ยังหนาแน่นมีต้นไม้ใหญ่ๆหลายชนิด  เช่น  ต้นไม้ตะเคียน ไม้ยางนา ไม้มะค่า ฯลฯ  สภาพป่าภูพานจุดแนวเขตติดต่อระหว่างจังหวัดเป็นแนวป่ารกชัฏ ปัจจุบันยังพอหลงเหลือจากนักลักลอบค้าไม้มีไม่มากนัก  เนื่องจากป่าถูกทำลายจากนักลักลอบตัดไม่พยุงอย่างหนักในระยะนั้น อีกทั้งชาวบ้านในพื้นที่เข้าไปหาของป่าก็จุดไฟเผาป่า เพื่อดักจับสัตว์ ทำให้ ป่าถูกเผาหลายแห่งโล่งเตียน  สัตว์เล็กๆต้องตายไปกับไฟป่าเพราะหนีไม่ทัน ต้นไม้เล็กๆไม่เกิดขึ้นมาอีกเหลือแต่ความโล่งโปร่งของตอไม้แห้งที่ตายยืนต้นมีให้เห็นเป็นอนุสรณ์แห่งความจำในอดีต  ซึ่งสังเกตุจากการเดินทางข้ามไปมาตามเส้นทางระหว่างสองจังหวัดนี้ ที่มีถนนตัดตรงผ่านเขาภูพานม่ีระยะทางที่ไกลหลายกิโลเมตรกว่าจะพ้นดงหนาทึบแล้วเข้าเขตบ้านแก้งกะอาม เขตอำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ 
               
                 ณ ช่วงเวลาหนึ่งนั้น ข้าพเจ้ามีภารกิจหน้าที่การงานที่จะต้องเดินทางข้ามเขาภูพานเป็นประจำ ทุกสัปดาห์ก็ว่าได้เพื่อไปทำงานในตัวเมืองจังหวัดกาฬสินธุ์  เป็นความทรงจำบางครั้งที่มีโอกาสเข้าป่าไปเที่ยวชมธรรมชาติมากกว่า   โดยให้เพื่อนๆในหมู่่บ้านติดแนวเขาภูพานเป็นผู้นำทางเดินป่าไปชมถ้ำหรือไปกินข้าวหาของป่าเล็กๆน้อยๆ เช่น หาเห็ด หน่อไม้ เก็บผัก โดยถืออีกเรื่องหนึ่งจะไม่เข้าป่าเพื่อล่าสัตว์โดยเด็ดขาด การไปต้องเตรียมอาหารน้ำสัมภาระติดตัวไปด้วยทุกครั้งในราวๆ ปี พ.ศ. 2555  ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสป่าภูพานซึ่งนานๆ ที ครั้งนี้ก็เช่นกันการเข้าป่าของข้าพเจ้า ไม่ได้เข้าไปเพื่อหาของป่าแต่เป็นการไปพบปะครูบาหนุ่ม โดยซื้อสิ่งของเครื่องใช้ไปถวายพระหนุ่มนักปฏิบัติรูปหนึ่งที่ถ้ำกลางหุบเขาภูพาน ซึ่งท่านได้พักปักกลดอยู่ในถ้ำลึกลับแห่งหนึ่ง  พระอาจารย์หนุ่มรูปนี้ข้าพเจ้าได้สนิทกับท่านมานานหลายปี ซึ่งท่านได้หลบหลีกสังคมความวุ่นวายในบ้านเมืองไปอยู่ในป่าภูพานมาหลายปีแล้ว ข้าพเจ้าออกเดินทางจากตัวเมืองกาฬสินธุ์ เวลาประมาณ 11 โมงเช้ากว่าๆ พร้อมกับเพื่อนๆ ร่วมทางเป็นเพื่อนหญิง 3 คน และเพื่อนชายอีก 1 คน รวมข้าพเจ้าแล้วเป็น 5 ชีวิต โดยแวะรับประทานอาหารเที่ยงกันที่ร้านค้าข้าแกงข้างทางในตัวอำเภอสมเด็จ แล้วขับรถขึ้นเขาภูพาน บรรยากาศกลางวัน วันนั้นสดใสไม่ร้อนมากนักเพราะเป็นช่วงหน้าหนาวเพิ่งผ่านไป เข้าช่วงเดือนมีนาคม วันนั้นได้นำรถยนต์เข้าไปจอดไว้ ณ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูพาน โดยขอฝากรถกับเจ้าหน้าที่ของอุทยานและขออนุญาตเจ้าหน้าที่เดินทางเพื่อจะนำของใช้เล็กๆน้อยๆ ไปถวายพระที่อยู่ ณ ถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ของทางอุทยาน ก็อนุญาตให้เข้าไปเพราะคุ้นเคยกับข้าพเจ้ามาก่อน  พวกเราพากันเดินทางด้วยเท้าช่วงนั้นเวลาประมาณบ่าย ใช้เวลาประมาณเกือบ 1 ชั่วโมง ก็ไปถึงถ้ำที่ว่า ได้ถวายของใช้ให้พระอาจารย์ท่านก็ให้พร ยถา..สัพพี..อนุโมทนาในการนำของใช้ต่างๆ ไปถวายท่านพร้อมสนทนาอยู่ประมาณชั่วโมงก็ได้เวลาขอเดินทางกลับกัน  
                พวกเราเดินเรียงตามกันมาข้างทางสภาพป่าหนาทึบไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยมีหลายต้นขนาดคนโอบรอบกันได้ 2-3 คน มีตะเคียน ตะแบก  ยางป่า ประดู่ใหญ่ๆ มาก พอมีทางเดินลัดเลาะไปตามไหล่เขาบ้าง ป่าหนาฯ สลับกับกอไผ่ที่พุ่มหนาบ้าง เดินห่างกันประมาณ 2 -3 เมตร บรรยากาศจะเย็นๆ ลมพัดยอดใบไม้เอื่อยๆ ซู่ๆซ่าๆ ปราศจากเสียงสัตว์ป่า นก แมลงต่างๆ เงียบกริ๊บ เดินออกจากถ้ำมาได้ประมาณ 30 นาทีซึ่งข้าพเจ้าเดินอยู่ท้ายสุด พอกำลังเดินผ่านดงไม้ต้นใหญ่หลายสิบต้น ระหว่างนั้นเพื่อนข้าพเจ้าข้างหน้าได้ยินเสียงดังคล้ายเสียงตีกลองเพลจากวัด ที่ดังแว่วมาตามสายลมเสียงนั้นดังพอได้ยินไม่ดังมาก จากเสียงดังครั้งแรก พอครั้งที่สองก็แผ่วเบาลง ถึงสี่ถึงห้าครั้ง ดังเป็นจังหวะ เพื่อนกับข้าพเจ้าจึงหยุดฟังเสียงด้งกล่าวว่ามันดังมาจากไหน จึงปล่อยให้เพื่อนๆ ที่เป็นหญิงเดินล่วงหน้าไปก่อน โดยไม่ได้บอกพวกเขา ข้าพเจ้ากับเพื่อนทั้งสองได้แต่เงี่ยหูฟัง ก็ได้ยินตรงกันเลยว่ามันดังมาจากต้นไม้ตะเคียนใหญ่นี้แน่ๆ ซึ่งต้นตะเคียนนี้มันอยู่ข้างทางที่พวกเรากำลังผ่านไป ก็เลยเดินอ้อมไปอีกข้างของต้นตะเคียนนั้น ก็ได้ยินเสียงกอลงเพลที่ตีดังขึ้นอีกครั้ง มันดังมาจากอีกทิศตรงกันข้ามอีกฟากหนึ่ง พวกเราเลยเดินอ้อมกันไปอยู่กันคนละข้าง แล้วที่นี้เสียงดังครั้งที่สามก็ดังออกมาจากต้นไม้ต้นนี้อีก เหมือนเสียงกลองที่พระเณรตียามเช้าช่วงจะฉันเพล ไม่มีผิด แต่เสียงแผ่วดังไม่ดังมากเหมือนเสียงที่ดังมาจากไกลๆ มาจากอีกหมู่่บ้านหนึ่ง เอาละครับทีนี้ขนลุกกันทั้งสองคน ผีส่งสัญญาณเสียงดังเป็นตีกลองเพลมาแล้ว อากาศที่ว่าเย็นอยู่แล้วยึ่งหนาวเข้าไปอีก เพื่อนว่าเกิดมาเพิ่งเคยเห็นกลางวันจะๆ อย่างนี้ไม่มีอีกแล้วนี้ก็เป็นช่วงเวลาประมาณบ่ายโมง ถึงบ่ายสองโมงแค่นั้น พวกเราก็รีบจ้ำอ้าวกึ่งเดินกึ่งวิ่ง พวกเพื่อนๆ หญิงที่ไม่เห็นข้าพเจ้ากับเพื่อนเดินตามมาก็ยืนรอสักพักว่าคงแวะข้างทางทำอะไรสักอย่างแน่ เขาก็เลยพากันเดินช้าๆ รอข้าพเจ้าไปด้วย ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ได้เล่าเรื่องอะไรให้พวกเขาฟัง ได้แต่เก็บเงียบไว้ก่อนขืนเล่าตอนนั้นคงเผ่นจ้ำอ้าวแซงหน้ากันป่าราบพอดี พอมาถึงรถก็พากันขึ้นรถเดินทางกลับออกจากป่าภูพาน ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูพาน พอกลับเข้มามาในตัวเมืองกาฬสินธุ์ ถึงที่ทำงานจึงได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ได้ไปเจอมา พวกเพื่อนๆก็มาถามกันยกใหญ่ว่าไหนเป็นอย่างไงทำเอาตื่นเต้นย้อนหลังกันไป ขนลุกย้อนหลังไปด้วย เพื่อนๆ บอกว่าขาเดินทางกลับระหว่างเดินทางผ่านจุดต้นไม้ใหญ่นั้นพวกเขาว่ามันเย็นๆ หลอนยังไง ถ้ารู้ว่ามาเห็นสภาพป่าแบบนี้ไม่กล้าไปด้วยแน่นอน...แต่ข้าพเจ้ารู้สัมผัสแต่แรกแล้วว่าถิ่นที่พวกเราไปนั้นเป็นแดนลับแลภูพาน...ดงหนาป่าทึบที่ยังมีให้เห็นอยู่ทุกวันนี้ แม้เรื่องราวเหตุการณ์จะผ่านนานหลายปีแล้วก็ยังจำติดตาติดใจไม่ลืมความหลอนได้เลย
                    ต่อมาทราบว่าทางการอุทยานแห่งชาติภูพาน ได้เข้มงวดไม่ให้พระป่า เข้ามาปักกลดอยู่ถ้ำอีกต่อไปตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา เพราะเหตุอาจเกรงว่าเป็นการไปทำลายสภาพแวดล้อมของป่าก็ว่าได้ สำหรับเรื่องราวพิลึกกึกกือนี้และยังมีอีกหลายเรื่องราวเกี่ยวกับความลี้ลับอีกมากมาย ตัวท่านพระอาจารย์หนุ่มองค์นี้ปัจจุบันท่านก็จำพรรษาอยู่ที่ตำบลสร้างค้อ อำเภอภูพาน และธุองค์รอบๆ ภูพานเรื่อยๆ เช่นเดียวกับข้าพเจ้ามีตำแหน่งหน้าที่การงานก็ไม่ห่างจากภูพานเท่าไหร่นัก แค่ร้อยกว่ากิโลเมตรเอง ต้องเดินทางกลับภูพาน สกลนคร ทุกสัปดาห์ เหมือนที่เคยเป็นมาครับ และคงอีกไม่นานหากเกษียณอายุราชการเมื่อไหร่คงต้องเข้าป่าสร้างบุญบารมีกันต่อไปครับ....
                                                                                พังคี  ภูพานปุระ/24/03/2564
                  
                

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ภพภูมิอันลี้ลับ

ป่าภูพาน ดินแดนแห่งตำนาน

             ภูพาน  หรือตามชื่อที่เรียกมาแต่โบราณอีกชื่อหนึ่งคือ ภูกูเวียน แนวเทือกเขาครอบคลุมพื้นที่หลายจังหวัด ตั้งแต่ตะวันออกแนวแม่น้ำโขง จังหวัดมุกดาหาร  นครพนม สกลนคร กาฬสินธุ์ ถึงแนวตะวันตกขอนแก่นและอุดรธานี แต่ส่วนมากคนจะเรียกเป็นภูพาน ที่อยู่เขตสกลนครเป็นส่วนใหญ่ แต่ละแห่งก็มีความลึกลับหลากหลายเรื่องราว เกี่ยวกับภพภูมิอันลี้ลับ เทวดา รุกขเทวดา แดนเมืองบังบด นาค ครุฑ กุมภัณฑ์ คนธรรพ์ นางไม้ ภูติผี ปีศาจอสูร ฯลฯ ที่ยังพอปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยๆ สำหรับผู้คนในหมู่บ้านที่อยู่ตามแนวเขาและคนต่างถิ่นที่ผ่านไปผ่านมา หากไม่ประสบพบเจอด้วยตัวเองคงยากที่เชื่อได้ แต่จะมีบ้างที่ไม่เชื่อของการมีอยู่จริงของภพภูมิเหล่านี้เพราะไม่เคยเห็น  แต่ก็มีคำพูดคำหนึ่งที่คอยเตือนเสมอของการมีอยู่จริงของภพภูมิคือ "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"  ซึ่งก็ยังใช้ได้ไม่มีวันตกยุคสมัย มาจนปัจจุบัน

             "เรื่องเล่า ภูติพยัคฆ์ ลายพาดกลอน" เมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อนป่าภูพานกับปัจจุบัน ความหนาแน่นของป่าแตกต่างกันมาก แม้จะมีนักค้าไม้แอบลักลอบไปตัดไม้บ้าง ทราบจากการตรวจจับของเจ้าหน้าที่จะเห็นอยู่บ่อยๆ แต่ป่าก็ยังหนาแน่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยในดงลึกถ้าได้เข้าไปสัมผัสแล้วยังเย็นยะเยือกอยู่เลย โดยเฉพาะเวลากลางคืนบนถนนสายหนึ่งที่เชื่อมต่อกันระหว่างจังหวัดสกลนคร กับจังหวัดกาฬสินธุ์ ถนนเส้นนี้มีตำนานการสร้างมานานพร้อมกับความลึกลับของป่า เวลากลางคืนแทบไม่มีรถยนต์สวนทางกันเลย 

           ข้าพเจ้ามีเพื่อนหญิงคนหนึ่งรู้จักกันไม่นานแต่ก็พอสนิทกันพอไปมาหาสู่กันพอสมควรตามภาระหน้าที่เกี่ยวข้องกัน เขาได้มาลงทุนเปิดกิจการประเภทหนึ่งที่จังหวัดสกลนคร จำเป็นต้องใช้เส้นทางไปกลับข้ามเขาภูพานจากกาฬสินธุ์ เข้าสู่สกลนคร ทุกสัปดาห์ ตามงานภารกิจที่จำเป็นและไม่จำเป็นบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเช้าสายบ่ายค่ำไปได้ทุกเวลา และแล้ววันหนึ่งมีโอกาสได้สนทนากันระหว่างโต๊ะอาหาร เขาได้คุยสัพเพเหระกับข้าพเจ้าไปเรื่อย และเล่าว่ามีประสบการณ์ขนหัวลุกให้ฟ้งวันหนึ่งช่วงหน้าฝน ปี 2546 มีธุระช่วงบ่ายต้องเดินทางออกจากสกลนครข้ามเขาภูพานไปกาฬสินธุ์  เมื่อรถแล่นไปถึงเขตตำบลสร้างค้อ อำเภอภูพาน ช่วงรอยต่อจะเข้าเขตอำเภอสมเด็จ กาฬสินธุ์ เป็นเวลาจะพลบค่ำพอดีจะเข้าเขตอีกด้านฝั่งภูพาน โดยมีเพื่อนร่วมทางเป็นหญิงไปด้วยกันนานๆ ทีจะมีรถสวนกันสักคัน รถยนต์วิ่งตามเส้นทางที่คดเคี้ยง บางครั้งก็รู้สึกได้ถึงความวิงเวียนปั่นป่วนทั่วตัวหากเป็นผู้ที่ไม่เคยผ่านไปมาบ่อยๆ  ซึ่งรถยนต์ไม่ได้ไปเร็วมากเพราะเส้นทางมีทั้งโค้งงอคดเคี้ยวหักศอก บางแห่งข้างทางก็ชัน เห็นมีเศษกระจกรถ เศษอะไหล่ต่างๆ ตกกระจายตามรายทางที่ประสบอุบัติเหตุก็มี ทำให้ต้องเพิ่มความระมัดระวังตัวในการขับรถเป็นอย่างมาก ความมืดเริ่มสลัวเข้ามาแทนที่ ก็เริ่มเปิดไฟหรี่ก่อนตามด้วยไฟปกติส่องสว่าง หากเปิดไฟสูงจากรถก็มองเห็นได้ไกลเป็นหลายร้อยเมตรทีเดียว แต่ก็เหมือนมีฉากกั้นไม่สามารถมองไปไกลได้ตามสภาพถนน เพราะมีแต่ป่าหนากับความมืดคลอบคลุมไปทั่ว เมื่อรถแล่นผ่านโค้งสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่จุดสูงสุด บนเขาภูพานอยู่เขตรอยต่อของสองจังหวัด แสงไฟไปกระทบกับสิ่งหนึ่งเบี้องหน้าขวาบริเวณเลยไหล่ทางไปนิดหนึ่ง...ทำเอาเพื่อนร่วมทางที่ไปด้วยกันถึงกับอึ้ง ขนลุกชันวาบหวิวชั่วครู่เหมือนสัมผัสวิญญาณ สิ่งที่เห็นนั้นคือ ตัวอะไรล่ะขนาดใหญ่นั่งนิ่งชันขาหน้านั่งทับขาหลังสองข้างพร้อมที่จะกระโดด มีอาการเฉยนิ่งเฉยหางโค้งงอขึ้นเล็กน้อย ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็นเลยเป็นไปได้หรือนี่แสงไฟส่องกับความมืดสลัวยังไม่มิดเท่าไหร่รถวิ่งก็ไม่ได้เร็วมากนักเพราะเลยทางโค้งมานิดเดียว ดูสีขนลายเหลืองส้มสลับกับดำ หรือนั่น "เสือลายพาดกลอน" ในตำนานภูพานสมัยก่อนที่เคยได้ยินมา ดูลำตัวขนาดใหญ่มาก ขณะรถแล่นผ่านหน้าที่มันั่งอยู่ มันทำท่าอ้าปากแยกเขี้ยวสีขาววาววับเหมือนกับอ้าปากหาว บิดขี้เกียจแล้วงับลงเฉย เหมือนมองดูเราด้วยอาการปกติไม่มีตื่นตกใจอะไรเลย แตกต่างกับเราหัวใจหล่นตุบตั้บๆ หนาวจับขั้วพร้อมกลั้นลมหายใจ ใส่คันเร่งรถเร็วอยากจะลัดโค้งไปให้ไวๆปานลมพัดบรื้อๆ เห็นกับตาทั้งสองคน  แต่ไม่กล้าหันกลับไปมองข้างหลัง ได้แต่ภาวนาท่องนะโมฯ กว่าจะไปตั้งหลักได้ก็ที่ตลาดอำเภอสมเด็จ แอร์รถยนต์หนาวเย็นขนาดนี่แต่เรายังเหงื่อแตกพลั่กๆ พร้อมกับสนทนากันไปในรถว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเสือลายพาดกลอนตัวเขื่องขนาดนี้มาอยู่ตรงนี้ได้  เพราะป่าภูพานในปัจจุบัน แม้แต่หมูป่า เก้ง กวาง ก็หายากเต็มที และไม่เคยได้ยินมานานแล้ว แต่ถ้าเป็นช่วงก่อน พ.ศ. 2500 ป่าหนารถชัฎก็พอว่าแต่นี่เป็น พ.ศ. 2546 เป็นไปได้หรือนี่ หรือมันแหกกรงขังเจ้าของเอามาปล่อย หรือมันมาจากฝั่งลาวเพื่อนบ้านมากลางคืนไม่มีใครรู้  ข้าพเจ้าได้ฟังแล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้ อีกอย่างข้าพเจ้าก็มีบ้านอยู่เขตอำเภอใกล้ๆแถวนั้นด้วย หรือมันคืออะไรกันล่ะ 

               เรื่องนี้ แม้ข้าพเจ้าจะมีบ้านอยู่แถบนั้นก็จริง แต่ไม่เคยได้ยินเรื่องราวของเสือที่ภูพานมาก่อนและพรานป่าหลายรุ่นแล้วไม่เคยเล่าเรื่องเสือให้ได้ยินจนปัจจุบัน และข้าพเจ้าก็เคยเดินป่าภูพานมานับไม่ถ้วน แล้วเพื่อนก็เล่าว่านี่เป็นเรื่องจริงของจริงที่ตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นเหมือนกัน และที่สำคัญตรงจุดนั้น ก็เป็นที่ทำการของอุทยานแห่งชาติของกรมป่าไม้ จะมีเจ้าหน้าที่ประจำแวะเวียนไปๆมาๆ อยู่เสมอ แต่ที่สังเกตุบริเวณนั้นมีแต่ต้นไม้ขนาดใหญ่ชนิด 2-3 คน หลายต้นคนหลายคนล้อมกันยังไม่มิดเลย เรื่องนี้แม้จะผ่านมาหลายปีแต่ก็ยังอยู่ในความทรงจำเสมอเพื่อนว่า และเพื่อนของข้าพเจ้าอาจไปพบเจอมิติของโลกอื่นโดยบังเอิญหรืออาจเพราะพวกเขาออกมาทักทายสั่นประสาทให้หลอนเล่นๆ กันอาจเป็นได้  ซึ่งมาตอนหลังได้เฉลยต้นของเรื่องมาภายหลังนี่เองแต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วไม่แปลกใจเลยเพราะรู้ในใจว่าอะไรเป็นอะไร และจากครูบาหลวงพี่ ก็เขตนั้นเป็นเขตภูมิอันลี้ลับของผีบังบด หรือเมืองลับแล วันดีคืนดี เขาจะมาให้เห็นเป็นอะไรแปลกๆเสมอๆ หากท่านได้ผ่านเส้นทางนี้ยามค่ำคืนก็ขอให้มีสติแผ่กุศลผลบุญไปให้เขาบ้างตลอดเส้นทาง

              "เสียงลึกลับแห่งพงไพร"  เมื่อ ปี พ.ศ. 2551  ก็ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่เอง ระหว่างที่ข้าพเจ้ามีโอกาสย้ายหน้าที่การงานไปอยู่ในตัวเมืองจังหวัดกาฬสินธุ์ ระยะหนึ่ง ซึ่งต้องเดินเทียวไปกลับมาหาครอบครัวอยู่ในตัวเมืองจังหวัดสกลนคร ทุกสัปดาห์วันศุกร์หลังเลิกงานเป็นอันต้องขับรถข้ามเขาภูพาน แล้ววันจันทร์ก็ต้องเดินทางแต่เช้าข้ามเขาจากสกลนคร เข้ากาฬสินธุ์ การเดินทางยามเช้าของข้าพเจ้ามักจะพบเห็นพระมายืนรอรับบิณทบาตตามเส้นทางบนเขาภูพานเสมอ  ข้าพเจ้าก็มีจิตใฝ่ทางพระอยู่แล้วจึงต้องเตรียมทุกเช้าวันจันทร์จะต้องมีอาหารสำรับกับข้าวของใช้บ้าง ไว้เตรียมใส่บาตรพระตอนเช้า ที่ท่านจะออกมารับบิณทบาตเพื่อสิริมงคลการเดินทางให้แคล้วคลาดปลอดภัย ซึ่งทุกเช้ามีพระหลายองค์ที่ออกมายืนตามรายทางบนเขาภูพาน ทีแรกก็ไม่เลือกใส่ทุกองค์จนกว่าของที่เตรียมมาหมด จุดละองค์ถึงสามสี่องค์ก็มี แต่ที่สนใจก็ตรงบริเวณจุดสูงสุดเขตรอยต่อระหว่างจังหวัด ข้าพเจ้าได้ทำเป็นประจำทุกวันจันทร์ระหว่างเดินทาง  จนรู้จักมักคุ้นกับพระท่านองค์หนึ่งเป็นอย่างดี ท่านเป็นพระหนุ่มอายุประมาณ 30 ปีเศษๆ นานเข้าก็สนิทกันก็สอบถามจิปาถะเรื่องราวในป่ามีทั้งเรื่องความอาถรรพ์ผีสางคางแดง ครบจนท่านเล่ารายละเอียดการอยู่ป่าให้ฟังทีละเล็กละน้อย จนข้าพเจ้าอยากรู้อยากเห็นความเป็นอยู่ในป่าวัตรข้อปฏิบัติพระป่าอยู่องค์เดียวมา 4 ปีกว่าแล้วที่ถ้ำห่างจากจุดถนนประมาณ 2-3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางด้วยเท้าประมาณ 1 ถึง 2 ชั่วโมง ท่านบวชมาจากครูอาจารย์อำเภอโนนสะอาด อุดรธานี แต่บ้านเกิดเป็นคนกาฬสินธุ์ ได้หาที่บำเพ็ญพำนักมาเรื่อยๆ จนปลีกตัวมาหาความวิเวกในป่าภูพาน การขบฉันวันๆ อดบ้างอิ่มบ้างตามชีวิตพระป่า แต่ก็ไม่เป็นปัญหาด้านความเป็นอยู่ เพราะอยู่ด้วยจิตด้วยธรรม ตามรอยพระพุทธองค์ศาสดาโลกเพื่อหวังพระนิพพานเป็นจุดหมาย 

               วันหนึ่งของวันหยุดยาวเทศกาล ช่วงกลางปี 2554 ข้าพเจ้าได้เตรียมเครื่องสำหรับไปปฏิบัติธรรม มีมุ้งกลดเครื่องใช้ประจำตัวเข้าพักวิเวกตามรอยครูอาจารย์ที่เคยไปมาหลายแห่งหลายปีแล้ว เช้าได้เดินทางบุกป่าไปสนทนากับท่านถึงถ้ำที่ท่านอยู่ ตามที่ท่านเคยบอกไว้ ลักษณะเป็นโพรงหลืบถ้ำลึกเข้าไปข้างในอากาศเย็นสบายมีน้ำไหลออกจากถ้ำใสเย็นเหมาะกับการภาวนายิ่งนัก ท่านว่าส่องไฟฉายเข้าไปทีไรหลอดไฟต้องขาดทุกที เมื่อข้าพเจ้าทดสอบส่องไฟฉายที่เตรียมมาเข้าไปในความมืด ก็เป็นดังท่านว่าหลอดไฟฉายของข้าพเจ้าขาดทันทีแปลกอัศจรรใจจริงๆ ดีที่เตรียมหัวเทียนสำรองมาด้วยบรรยากาศลึกลับบรรยายไม่ถูก  ตกเย็นมาวันนั้นท่านต้มน้ำร้อน พร้อมยาสมุนไพรให้ดื่มแบบป่าชาวบ้านเมื่อมาใหม่ๆที่ถ้ำนี้ท่านว่า มีความลึกลับในตัว บางวันจิตสงบเคยได้ยินแม้กระทั่งเสียงกระแสภูเขาแผ่นดินไหวทั่วโลกก็ยังมี มันดังคลื่นๆ อยู่ข้างล่าง ครั้งหนึ่งตอนมาอยู่ใหม่ๆ ตกกลางคืน ได้นิมิตรเห็นหญิงสาวนางหนึ่งสวยงามยิ่งนักมาชอบอยากได้พระหลวงพี่ไปอยู่ด้วย พยายามจะมุดมุ้งกลดเข้ามาให้ได้ แต่ท่านก็ขู่ห้ามเข้ามานะไม่กลัวบาปหรือโยมแต่เขาไม่สนท่านก็ระวังตัวของท่านด้วย หากเข้ามาต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งแน่ หญิงนางนั้นไม่ฟังก็เปิดมุ้งกลดเข้ามาหาท่านทำมายาภาพหญิงสวยงามยิ่งนักหากเป็นหนุ่มชาวบ้านมีหวังทำเป็นเมียแน่ๆ ท่านเลยใช้เท้าถีบออกไปไม่รู้ถูกตรงไหน ทำให้หญิงนางนั้นกระเด็นออกไปตกแอ่งน้ำข้างกลดที่ไหลออกมาจากปากถ้ำ แล้วก็หายไป จนกระทั่งเช้าวันใหม่กำลังเตรียมตัวออกจากถ้ำไปบิณทบาต ได้เห็นงูตัวหนึ่งสีดำมะเมื่อมตัวขนาดเท่าแขนเด็กๆ ยาวประมาณ 1 เมตร ใช้ไม้เขี่ยดูนอนตายอยู่ข้างแอ่งน้ำเล็กๆที่ไหลออกมาจากถ้ำ พิจารณาดูแล้วไม่เคยเห็นงูชนิดนี้มาก่อนมีสีดำมะเมื่อมบนหัวมีหงอนหยักๆแดงคล้ำๆคล้ายหงอนไก่ เลยใช้ไม้เขี่ยเอาออกไปทิ้งนอกถ้ำแล้วก็ไปทำข้อวัตรปฏิบัติตามปกติประจำวัน  พอตกกลางคืนมาได้นิมิตรเห็นเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ ทั้งชายหญิง หลายคนเดินทางออกมาจากถ้ำ มาถึงก็นั่งก้มกราบพร้อมขันดอกไม้มีผู้นำได้พูดขึ้นว่า เขามาจากเมืองลับแลพญานาคอยู่ในเมืองหลังม่านถ้ำนี้ วันนี้มาขอขมาท่าน แทนลูกสาวที่มาล่วงเกินท่านเมื่อวันก่อนท่านว่า งงเหมือนกัน เขาบอกว่าลูกสาวเขาผู้ที่มาหาท่านเมื่อวานไง ที่เห็นเป็นงูสีดำนั่นล่ะ อ้อท่านถึงได้เข้าใจเขาได้เชิญท่านเข้าไปเมืองของเขาด้วย แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ยินท่านเล่าให้ฟังว่าได้เข้าไปในเมืองของเขาหรือไม่ 

                  การคุยก็ออกรสชวนติดตามชนิดมันหยด พอสมควรแล้วก็ต่างแยกย้ายไปที่พักคนละที่กับท่าน สำหรับข้าพเจ้าต้องเดินตามไหล่เขาเลียบเลาะโขดหินผา   ขึ้นสูงไปอีกไกลห่างจากถ้ำอีกประมาณ 500 เมตร     โอ้..ทั้งกลัวทั้งหวาดหวั่นใจพิลึกกึกกือ เป็นครั้งแรกที่เผชิญความกลัวแบบสุดๆ แต่ก็ทำใจดีสู้เสืออย่างเดียว  มาแล้วถ้ากลัวตายก็ต้องตายอยู่ดี อยู่ที่ไหนก็ต้องตายทุกคนเกิดมาก็ตาย  การตายมีครั้งเดียว ความกลังถึงขีดสุดๆยังไงก็ไม่ถอยแล้ว ตายเพื่อธรรมะไม่ขายหน้าแน่ คิดพิจารณาทบทวนไปมา หลวงพี่ท่านก็มาอยู่องค์เดียวนี่ทำไมท่านกล้านักอยู่ได้ไม่เห็นเป็นอะไรมีผีเป็นเพื่อน เราเป็นอะไรถึงจะหนีก่อนพระทั้งที่ยังไม่เห็นอะไรสักอย่างเลยผีสางคางแดงที่ไหนกลัวไปก่อนแล้วยังไงผีก็ต้องรู้จักเราบ้างคงไม่ทำอะไรหรอก  เดินมาถึงกระท่อมเล็กๆ ยอดเขาป่าใหญ่ภูพาน อดเหลียงมองซ้ายบ้างขวาบ้างหลับตาบ้างใจหวิวๆ มีต้นไม้ใหญ่ๆ หลายต้นหนาๆหลายคนโอบเห็นแต่เงาดำทะมึนตะคุ่มเสียงลมหวีดหวิวเย็นยะเยือกมา มองตามแสงไฟไปเห็นหลังคากระท่อมมุงด้วยหญ้าคา ฝาใบไม้แห้งเคล้ากับเสียงลมพัดอู้ๆอี้ๆตลอดเวลาสติขาดๆเกินๆ  รู้สึกว่ามีบางอย่างคอยจับความเคลื่อนไหว จ้องมองลายล้อมอยู่ตลอดเวลา แอบซ่อนตัวบังอยู่ข้างต้นไม้ก็มีขึ้นนั่งห้อยขาอยู่บนต้นไม้ก็มี จิตคิดจินตนาการปรุงแต่งหลอกตัวเองไปไกลกว่าจะตามมาได้ก็เหงื่อแตกพลั่กจะเผ่นไปก็กลัวเสียยี่ห้อคนเขาจะหัวเราะเยาะได้ อยู่ได้ไม่ได้ให้มันรู้กัน  นั่งพักส่องไฟหาเผื่อมีเจ้าที่อยู่ก่อน แล้วกล่าววาจาต่อภูมิสถานที่ขอพักชั่วคราวสักวันแล้วก็จัดสถานที่กางมุ้งแขวนกลดเข้านั่งในกลดแล้วตั้งจิตแน่วแน่อัญเชิญบารมีพระพุทธองค์ศาสดา พระธรรมและครูบาอาจารย์ทั้งอดีตปัจจุบันส่งกระแสพลังบุญมาดูแลครอบคลุมอาณาเขตบริเวณ เริ่มต้นก็ร่ายภาวนาคาถามหาเวทย์ลึกลับของครูอาจารย์ นำบทอยู่ป่าทุกบทแล้วแผ่กุศลกรรมคุณความดีทั้งหมดส่งกระแสจิตภายในและกระแสเสียงภายนอกทุกสภาวะความปราถนาดีไปยังทุกอนูอากาศ รอบๆตัวออกไปไม่มีประมาณ  ตั้งสติแนบแน่นไม่ให้เผลอไปได้หากเผลอทีไรความกลัวเข้ามาแทนที่  การสู้ความกับความกลัวมันช่างยาวนาน  กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้งก็สว่างพอดี  บรรยายไม่ถูกกับการเผชิญสภาวะความกลัวที่เกิดขึ้นเมื่อถึงขีดสุดแล้วก็คลายลงเหลือแต่ความนิ่งวางเฉย พิจารณากลับไปกลับมาแต่ก็ผ่านพ้นไปได้   หากไม่พบสภาวะกับตัวเองแล้วนำความรู้สึกมาถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้รับรู้มันช่างแตกต่างกันลิบกับความเป็นจริง 
           
         
         

วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

แดนลี้ลับ เรื่องเล่า

               

               ต้นเดือนมกราคม 2558  ปีเริ่มแห่งการเปิดแดนโลกธาตุเพื่อมวลมนุษยชาติ
                                                              และสัตว์ทั้งหลาย
                 ณ บัดนี้เกล้ากระผม ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้มีความปราถนาอันแรงกล้าในพุทธภูมิเพื่อช่วยเหลือเหล่ามวลมนุษย์และสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายมาในภพภูมิแต่กาลก่อน ปัจจุบันได้พิจารณามองเห็นว่าอีกไม่นาน  จักเกิดภัยพิบัติแก่มวลมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย และหากการบำเพ็ญบุญบารมีเพียงพอและเมื่อถึงเวลาแล้ว เกล้าจักได้เข้ามามีส่วนร่วมช่วยเหลือท่านทั้งหลายกับท่านพุทธภูมิให้พ้นจากภัยพิบัติดังกล่าว แต่บัดนี้ถึงเวลาแล้วแห่งการเปิดโลกธาตุทุกๆแดนของเกล้า และเห็นว่าเส้นทางแห่งพุทธภูมิของของกล้ายังอีกยาวนานและองค์ศาสดาพระกกุสันโธสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้นภัทรกัปนี้ได้พยากรณ์กล้าแล้วว่าขณะนี้ยังไม่ถึงกาลเวลาที่รองรับการพยากรณ์เกี่ยวกับพุทธภูมิ   เกล้าจึงตัดสินใจตั้งจิตขอละจากความปราถนาพุทธภูมิ เพื่อเป็นสาวกขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า นับแต่ต่อนี้ไปด้วยเถิด เพื่อทำให้แจ้งในพระนิพพานในที่สุดของชาติภพนี้  เกล้าผู้ได้ศึกษาจิตวิญญาณค้นคว้ามายาวนานต่อเนื่องและจะเป็นส่วนหนึ่งในการสงเคราะห์ท่านทั้งหลายที่ตกทุกข์ได้ยากที่มีกรรมผูกพันธ์กับเกล้า และกรรมที่พอจะแก้ไขได้ นับแต่ต่อนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน  

                หากจะนำประสบการณ์ เรื่องเล่าการปฏิบัติสมาธิเส้นทางการบำเพ็ญภาวนา การสัมผัสโลกทิพย์ภพภูมิทิพย์ ความลึกลับแห่งตำนานภพภูมิ ในดินแดนภูกูเวียนหรือภูพานในปัจจุบัน มาเพื่อพิจารณาให้ผู้สนใจศึกษาและเพื่อเป็นความบันเทิงในทางธรรม  ในยุคปัจจุบันเพื่อไว้สำหรับผู้มีบุญวาสนาเส้นทางธรรมอันยาวไกล ไว้ทัสนา...  

                                                                                              ขออนุโมทนา
                                                                                       นาราวินท์  จักรพรรดิ์ 
                                                                                              ม.ค.2558   
   
                 
ตำนานเรื่องเล่า ประสบการณ์แก้วเสด็จ ถ้ำเสี่ยงของ
แก้วมนีโชติในตำนานมีจริงหรือ

                    รอยประทับนั่ง ๔ พระองค์ ถ้ำเสี่ยงของ ต.หลุบเลา อ.ภูพาน จ.สกลนคร
                          ขอนมัสการน้อมกราบ รอยประทับนั่งองค์ศาสดา  4 พระองค์ ในภัทรกัปนี้ 
                 
วัดถ้ำเสี่ยงของ ที่รอยแก้วเสด็จ  อ.ภูพาน สกลนคร 
                                      ทางเดินลงด้านหลังวัดถ้ำเสี่ยงของ ด้านทิศตะวันออกของวด 
                                                  ซึ่งต้องเดินลงเลียบไต่หน้าผาสูงชัน      
มีทางสำหรับเดินจงกลม กฏีชั่วคราวริมหน้าผา หากพลั้งเผลอมีโอกาสล่วงลงเบี้องล่างได้ทุกเมื่อ กลางคืนมีแต่แสงไฟ   
                                                  
         จากข้อมูลครูบาอาจารย์ และญาติที่มาทำบุญที่วัด บอกว่าเป็นรอยของแก้วหลายดวงที่เสด็จ มาเล่นเวลากลางคืนโดยกลิ้งไปมาจนเรียบและลื่นเป็นมัน หรือว่าแก้วมนีโชติในตำนานมีจริงหรือนี่ แต่มีสีขาว ส่วนผมก็สงสัยเหมือนกันครับว่าอาจมีนักแสวงโชคเอาแป้งมาลูบๆ เหมือนไปลูบต้นไม้มองหาเลขเด็ดก็ได้ 
         หรือว่าเป็นรอยประทับทรงนั่งของพระพุทธองค์ในภัทรกัปนี้ ที่ผ่านมาแล้ว 4 พระองค์ แต่ก็สงสัยว่ามาอยู่หน้าผาได้อย่างไร หรือมีคนโบราณสร้างขึ้นอะไรสักอย่าง  ในวันที่ไปถ้ำเสี่ยงของได้พบหลวงปู่รูปหนึ่งมาจากจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งท่านบอกว่าอยากจะมานั่งวิปัสสนหาความสงบ และอยากจะพิสูจน์ตามเสียงร่ำลือว่าทุกวันพระ ตรงนี้จะมีแก้วเสด็จมาซึ่งลอยมาจากเขาอีกลูกด้านทิศตะวันออก และลอยกันไปมาจึงอยากจะมาชมบารมี  แต่ทุกวันนี้ไม่ค่อยได้เห็นแล้ว  ท่านว่าพึ่งมาถึงและจะได้นั่งทางในดูเดี๋ยวก็คงทราบกันว่ามีความเป็นมาอย่างไร   
          อดีตกาล..ที่จินตนาการ ลักษณะร่องรอยประหลาดเป็นหลุมเกลี้ยงเกลาเหมือนขัดด้วยหินเจียรไนละเอียดอย่างดี มันละเลื่อม มีหลายหลุมร่องลึกประมาณ 1-5 ซม. ไม่น่าจะตั้งอยู่ตามที่เห็นปัจจุบันนี่แน่ ต้องมีบางอย่าง การเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา เมื่อหลายล้าน แสน หมื่น พันปีก่อน จุดนี้แต่ก่อนอยุ่บนเขาข้างบนเป็นเนินเขาก่อนที่จะเกิดปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยา แผ่นดินเคลื่อนยุบตัว บางแห่งดันขึ้นพอดีเกิดรอยแยกตรงรอย เหล่าเทพผู้ดูแลได้เคลื่อนย้ายหลบเข้าซ่อนไว้ใต้หน้าผา มองเห็นว่าเหตุแห่งอนาคตกาลข้างหน้า (จิตย้อนภพ...โปรดใช้วิจารณาญาณเป็นความรู้ใหม่ๆก็ได้ ส่วนรอยประทับนั่งของจริง สันนิฐานก็พอว่าเป็นไปได้ไหม)                                                                                            
                                  พบแก้วเสด็จ ตามตำนาน
            แก้วเสด็จ จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้ดูแลอุปฐากวัดถ้ำเสี่ยงของ  ซึ่งมีบ้านอยู่ ณ บ้านหลุบเลา อำเภอภูพาน ใกล้ๆกับวัดเล่าให้ฟังว่าเมื่อยี่สิบก่อนถอยลงไป จะเห็นแก้วลอยเสด็จไปมาระหว่างเขาเห็นเป็นประจำเป็นเรื่องปกติของคนแถบนี้ แก้วมีลักษณะทรงกลมลูกเท่าส้มโอก็มี ส้มเขียวหวานก็มี เวลาเสด็จจะมีแสงนวลจ้าสีน้ำเงินหรือ สีขาว สว่างมากรัศมีประมาณ 50 เมตร บางทีก็ลอยกันมาทีละหลายดวงก็มีเคยเห็นลอยในระดับต่ำจนถึงปลายยอดไม้ถ้าหากเดินเข้าใกล้จะคว้าจับ บางครั้งจะหล่นลงพื้นหายเข้าไปในซอกหินหรือดับทันที บางครั้งก็ลอยห่างออกไป เหมือนมีชีวิต ส่วนมากจะเป็นวันพระ และเคยเห็นมาด้วยตนเองแต่ยี่สิบปีมานี้ไม่ค่อยปรากฏ นานๆทีจึงจะเห็น และส่วนมากจะเห็นได้เฉพาะผู้ปฏิบัติธรรม เวลากลางคืนไม่จำกัดเวลา บางทีก็ 1-2 ทุ่ม บางทีก็หกทุ่ม  
                   วันนั้นได้พบกับหลวงปู่องค์หนึ่ง และมีโอกาสได้สนทนากับท่านเรื่องการปฏิบัติจิต กรรมฐาน เหมือนกับได้คุ้นเคยกันมาก่อน  ท่านเล่าให้ฟังว่าหลังจากอยู่ที่ถ้ำเสี่ยงของ ท่านได้ทราบว่าแก้วที่เคยเสด็จมานั้นปัจจุบัน ได้ย้ายหนีไปอยู่ทางภูน้ำหยาด ในเขตตำบลกกปลาซิว อ.ภูพาน ภูผายล หากมองจากจุดนี้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ในเทีอกเขาอีกหลายลูกไม่ไกลมากพอมองเห็นอยู่ลิบๆ เดี่ยวจะตามไปดูให้เป็นบุญซักหน่อย อะไรหนอที่เป็นต้นเหตุที่แก้วตามตำนานต้องย้ายไป ไม่เหมือนเมื่อก่อนไม่เห็นความลึกลับแห่งภพภูมิเมืองโบราณ หรือว่า ความเสื่อม ความวุ่นวายของคนนี่หรือ การติดตามล่าสมบัติของนักล่าสมบัติโบราณ ป่าถูกโค่นโดยเฉพาะไม้หวงห้ามเช่น พะยูง ที่พึ่งจะหมดไปจากไปภูพาน 2-3 ปีนี่เอง การบุกรุกอย่างไม่หยุดยั้งของนายทุนกับการปลูกยางพารา ไม่เหมือนเมื่อก่อนยี่สิบก่อนเขตตำบลหลุบเลา ตำบลสร้างค้อ อำเภอภูพาน(เดิมเป็นอำเภอกุดบาก ได้แยกออกมาตั้งอำเภอ) เป็นป่าหนาทึบด้วยต้นไม้ใหญ่ๆ ทางเข้ามาที่วัดก็หนาแน่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ผมจำได้ว่าเคยขี่มอเตอไซด์ผ่านมากับเพื่อนครั้งหนึ่งเหมือนเข้าไปในดงป่าผีดิบ ขนาดกลางวันยังขนลุกเลย ขณะนั้่นปี 2536 ของวัดถ้ำเสี่ยงของ ภาพเหมือนในความฝัน ยังจำได้ติดตามาจนปัจจุบัน  มาบัดนี้คงไม่มีวันได้เห็นสภาพป่าคืนมาให้เห็นอีกแล้ว...